แหล่งกำเนิดไฟฟ้า  แหล่งกำเนิดไฟฟ้ามีหลายชนิด ดังนี้ 
1. แหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการเสียดสีของวัตถุ การนำวัตถุ 2 ชนิดมาเสียดสีกันจะเกิดไฟฟ้า เรียกว่า ไฟฟ้าสถิต ผู้ค้นพบไฟฟ้าสถิตครั้งแรก คือ นักปราชญ์กรีกโบราณท่านหนึ่งชื่อเทลิส(Philosopher Thales) แต่ยังไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับไฟฟ้ามากนักจนถึงสมัยเซอร์วิลเลี่ยมกิลเบอร์ค(Sir William Gilbert)ได้ทดลองนำเอาแท่งอำพันถูกับผ้าขนสัตว์ปรากฏว่าแท่งอำพันและผ้าขนสัตว์สามารถดูดผงเล็กๆได้ปรากฏการณ์นี้คือการเกิดไฟฟ้าสถิตบนวัตถุทั้งสอง
2. 
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากพลังงานทางเคมี   
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าจากพลังงานทางเคมีเป็นไฟฟ้าชนิดกระแสตรง(Direct Current) 
สามารถแบ่งออกได้เป็น 
2 
แบบ 
คือ
1) เซลล์ปฐมภูมิ (Primary 
Cell)เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่ให้กระแสไฟฟ้าตรง 
ผู้ที่คิดค้นได้คนแรกคือ 
เคานต์อาเลสซันโดรยูเซปเปอันโตนีโออานัสตาซีโอวอลตา 
นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี โดยใช้แผ่นสังกะสี 
และแผ่นทองแดงจุ่มลงใน
สารละลายของกรดกำมะถันอย่างเจือจาง มีแผ่นทองแดงเป็นขั้วบวกแผ่นสังกะสีเป็นขั้วลบ เรียกว่า เซลล์วอลเทอิก เมื่อต่อเซลล์กับวงจรภายนอกก็จะมีกระแสไฟฟ้าไหลจากแผ่นทองแดงไปยังแผ่นสังกะสี ขณะที่เซลล์วอลเทอิกจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับหลอดไฟแผ่นสังกะสีจะค่อย ๆ กร่อนไปทีละน้อยซึ่งจะเป็นผลทำให้กำลังในการจ่ายกระแสไฟฟ้าลดลงด้วย และเมื่อใช้ไปจนกระทั่งแผ่นสังกะสีกร่อนมากก็ต้องเปลี่ยนสังกะสีใหม่ จึงจะทำให้การจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ต่อไปเท่าเดิม ข้อเสียของเซลล์แบบนี้คือ ผู้ใช้จะต้องคอยเปลี่ยนแผ่นสังกะสีทุกครั้งที่เซลล์จ่ายกระแสไฟฟ้าลดลง แต่อย่างไรก็ตามเซลล์วอลเทอิกนี้ ถือว่าเป็นต้นแบบของการประดิษฐ์เซลล์แห้ง (Dry Cell) หรือถ่านไฟฉายในปัจจุบัน ทั้งเซลล์เปียกและเซลล์แห้งนี้เรียกว่า เซลล์ปฐมภูมิ (Primary Cell) ข้อดีของเซลล์ปฐมภูมินี้ คือ เมื่อสร้างเสร็จสามารถนำไปใช้ได้ทันที
สารละลายของกรดกำมะถันอย่างเจือจาง มีแผ่นทองแดงเป็นขั้วบวกแผ่นสังกะสีเป็นขั้วลบ เรียกว่า เซลล์วอลเทอิก เมื่อต่อเซลล์กับวงจรภายนอกก็จะมีกระแสไฟฟ้าไหลจากแผ่นทองแดงไปยังแผ่นสังกะสี ขณะที่เซลล์วอลเทอิกจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับหลอดไฟแผ่นสังกะสีจะค่อย ๆ กร่อนไปทีละน้อยซึ่งจะเป็นผลทำให้กำลังในการจ่ายกระแสไฟฟ้าลดลงด้วย และเมื่อใช้ไปจนกระทั่งแผ่นสังกะสีกร่อนมากก็ต้องเปลี่ยนสังกะสีใหม่ จึงจะทำให้การจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ต่อไปเท่าเดิม ข้อเสียของเซลล์แบบนี้คือ ผู้ใช้จะต้องคอยเปลี่ยนแผ่นสังกะสีทุกครั้งที่เซลล์จ่ายกระแสไฟฟ้าลดลง แต่อย่างไรก็ตามเซลล์วอลเทอิกนี้ ถือว่าเป็นต้นแบบของการประดิษฐ์เซลล์แห้ง (Dry Cell) หรือถ่านไฟฉายในปัจจุบัน ทั้งเซลล์เปียกและเซลล์แห้งนี้เรียกว่า เซลล์ปฐมภูมิ (Primary Cell) ข้อดีของเซลล์ปฐมภูมินี้ คือ เมื่อสร้างเสร็จสามารถนำไปใช้ได้ทันที
3. 
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า  
กระแสไฟฟ้าที่ได้มาจากพลังงานแม่เหล็กโดยวิธีการใช้ลวดตัวนำไฟฟ้าตัดผ่านสนามแม่เหล็ก 
หรือการนำสนามแม่เหล็กวิ่งตัดผ่านลวดตัวนำอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งสองวิธีนี้จะทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลในตัวนำนั้น 
กระแสที่ผลิตได้มีทั้งกระแสตรงและกระแสสลับ
หลักการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรงอาศัยหลักการที่ตัวนำเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็กจะเกิดแรงเคลื่อนที่ไฟฟ้าขึ้นในลวดตัวนำนั้น โครงสร้างของเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง มีดังนี้
ก.ส่วนที่อยู่กับที่ประกอบด้วยโครงและขั้วแม่เหล็ก ส่วนนี้สร้างสนามแม่เหล็กหรือเส้นแรงแม่เหล็กและส่วนที่รับกระแสไฟออก
2) 
เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ   
มีโครงสร้างเหมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง แต่ที่อาร์มาเจอร์มีวงแหวนแทนคอมมิวเตเตอร์ 
(Commutature) 
หลักการทำงานของการเกิดมีขั้นตอนโครงสร้าง 
9 
ขั้นตอน 
จะเห็นได้ว่าแหล่งกำเนิดไฟฟ้ามีได้หลายรูปแบบ 
แต่ในที่นี้เราจะศึกษาเฉพาะเซลล์ไฟฟ้าเคมี
เซลล์ไฟฟ้าเคมี
เซลล์ไฟฟ้าเคมี  คืออุปกรณ์ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าขึ้นมาได้ 
จากการเกิดปฏิกิริยาเคมี  ประกอบด้วยโลหะสองชนิดซึ่งทำหน้าที่เป็นขั้วไฟฟ้าจุ่มอยู่ในสารละลายที่นำไฟฟ้า
องค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์ไฟฟ้าเคมี
1) ขั้วไฟฟ้า 
(Electrode) 
ทำจากโลหะ 
สองชนิด  ที่แตกตัวเป็นไอออนได้ไม่เท่ากัน  โลหะที่ทำหน้าที่เป็นขั้วไฟฟ้านี้เรียกว่า      อิเลคโตรด  ขั้วหนึ่งเป็นขั้วบวก  อีกขั้วหนึ่งเป็นขั้วลบ
2) สารละลายที่นำไฟฟ้า 
(Electrolyte) 
เป็นสารละลายที่สามารถแตกตัวแล้วเกิดประจุไฟฟ้าได้  อาจเป็นสารละลายของกรด  เบส  เกลือ  เช่น 
สารละลายกรดซัลฟิวริก  สารละลายเบสโซเดียมไฮดรอกไซด์  สารละลายเกลือคอปเปอร์ซัลเฟตยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้  ทำหน้าที่เป็นอิเลคโทรไลต์  และสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้
การเกิดกระแสไฟฟ้าในเซลล์ไฟฟ้าเคมี 
มีหลักการดังนี้ 
เมื่อจุ่มโลหะลงในกรดเจือจาง  โลหะแต่ละชนิดจะแตกตัวเป็นไอออนได้ไม่เท่ากัน  เช่นในกรดซัลฟิวริกเจือจาง  แผ่นสังกะสีแตกตัวเป็นไอออนได้มากกว่าแผ่นทองแดง  จึงเกิดประจุลบที่แผ่นสังกะสีมากกว่า 
ทำให้มีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่าแผ่นทองแดง  ประจุลบจากแผ่นสังกะสีจะเคลื่อนที่ไปหาแผ่นทองแดง 
เกิดกระแสอิเลคตรอนขึ้น  
ในขณะเดียวกันก็เกิดกระแสไฟฟ้า(สมมุติ) 
ไหลจากแผ่นทองแดงไปยังสังกะสี  ประจุลบจากแผ่นสังกะสีจะเคลื่อนที่ไปยังแผ่นทองแดงจนกระทั่งศักย์ไฟฟ้าของโลหะทั้งสองแผ่นเท่ากัน 
(ไม่เกิดความต่างศักย์) ประจุลบจึงหยุดการเคลื่อนที่
สารละลายกรดซัลฟิวริกเจือจางจะเกิดปฏิกิริยา 
โดย จะแตกตัวได้เป็นไฮโดรเจนไอออน  (H+) ซึ่งมีประจุบวก   เข้าไปรับอิเลคตรอนที่แผ่นทองแดง 
แล้วเกิดเป็นก๊าซไฮโดรเจนเกาะอยู่ที่แผ่นทองแดง การที่ไฮโดรเจนไอออนเข้าไปรับอิเลคตรอนจากแผ่นทอง 
ทำให้แผ่นทองแดงมีประจุลบน้อยกว่าแผ่นสังกะสี  ประจุลบจากสังกะสีจึงเคลื่อนที่จากแผ่นสังกะสีไปยังแผ่นทองแดงได้ตลอดเวลาเช่นกัน 
โดยซัลเฟตไอออนจะไปรวมกับสังกะสีไอออนเกิดเป็นสังกะสีซัลเฟตและตกตะกอน  ดังนั้นในเซลล์ไฟฟ้าเคมีแผ่นสังกะสีจึงผุกร่อนตลอดเวลา
เซลล์ปฐมภูมิ  เป็นเซลล์ไฟฟ้าที่เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้วไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 
เช่น 
ถ่านไฟฉาย เซลล์แอลคาไลน์ เซลล์ปรอท เซลล์เงิน เป็นต้น 
เซลล์ไฟฟ้าประเภทนี้เมื่อสร้างเสร็จสามารถนำมาใช้ได้เลย 
1. 
เซลล์ดาเนียล  เป็นเซลล์กัลวานิก 
ประกอบด้วยครึ่งเซลล์ทองแดงและครึ่งเซลล์สังกะสี มีชื่อเรียกเฉพาะว่า เซลล์ดาเนียล 
(Daniel 
cell) ซึ่งใช้ภาชนะพรุน 
หรือแผ่นพรุนขั้นสารละลายในแต่ละครึ่งเซลล์ทั้งสองแทนสะพานไอออน
อิเล็กโทรดทองแดงประกอบด้วยโลหะทองแดงบรรจุอยู่ในสารละลายอิ่มตัวของคอปเปอร์(||) 
ซัลเฟต 
ส่วนล่างของเซลล์มีผลึกของคอปเปอร์ซัลเฟตเพื่อให้สารละลายอิ่มตัว 
สารอิเล็กโทรดสังกะสีประกอบด้วย 
โลหะสังกะสีลอยอยู่ในสารละลายสังกะสีซัลเฟตที่เจือจางใกล้ๆส่วนบนของเซลล์ 
เหนือสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟตซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่า 
เมื่อโลหะสังกะสีและทองแดงเชื่อมต่อกันด้วยลวด 
อิเล็กตรอนจะไหลผ่านเส้นลวดจากสังกะสีซึ่งถูกออกซิไดซ์ง่ายกว่าไปยังทองแดงซึ่งออกซิไดซ์ยากกว่า 
สังกะสีจะถูกออกซิไดซ์กลายเป็น 
Zn2+ 
ในสารละลาย 
ในขณะเดียวกัน Cu2+ 
จะถูกรีดิวซ์เป็นทองแดง 
ดังสมการ
ปฏิกิริยาที่เกิด 
Anode 
(Oxidation)            Zn       Zn2+ + 
 2e-
Cathode (Reduction) 
        Cu2+ 
+ 2e-       Cu
ปฏิกิริยารวม 
(Redox)      Zn + 
Cu2+        Zn2+ 
+ Cu
ถ้าความเข้มข้นของ 
Zn2+ 
เพิ่มขึ้น 
ปฏิกิริยาที่ขั้วบวก 
( Anode ) จะเลื่อนไปทางซ้าย 
เป็นผลให้ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ลดลง 
ซึ่งโดยปกติเซลล์ดาเนียลจะให้ศักย์ไฟฟ้าประมาณ 
1.10 โวลต์ 
เซลล์ที่ใช้หลักการเดียวกับดาเนียลเซลล์ 
แต่ใช้แคดเมียมและนิกเกิลแทนสังกะสีและทองแดง 
ใช้กันมากในแบตเตอรี่ เพราะมีอายุการใช้งานที่นานกว่า 
2. 
ถ่านไฟฉายหรือเซลล์แห้ง 
ปฏิกิริยาที่เกิด 
Anode 
(Oxidation)            Zn       Zn2+ + 
 2e-
Cathode (Reduction) 
        2MnO2 + 
2NH4 + 2e-    
    Mn2O3 
+ H2O + 2NH3
ปฏิกิริยารวม 
(Redox)      Zn + 
2MnO2 + 2NH4 +         Zn2+ + 
Mn2O3 + H2O + 
2NH3
Zn2+ 
รวมกับ 
NH2 
เกิดสารประกอบเชิงซ้อน 
[Zn(NH3)4]2+ และ 
[Zn(NH3)2(H2O)]2+] เพื่อรักษาความเข้มข้นของ 
Zn2+และNH3เซลล์ชนิดนี้มีแรงเคลื่อนประมาณ1.5โวลต์
ที่คาโทดมีคาร์บอนอยู่สองรูปร่วมกัน : แกรไฟต์ หรือเรียกว่า "คาร์บอน แบลค" เกิดขึ้นจากการสลายสารไฮโดรคาร์บอนด้วยความร้อนสูงมาก (pyrolysis) หรือโดยการเผาไหม้บางส่วน (partial combustion) โดยทั่วไปอะเซทีลีนแบลคผลิตขึ้นจากการทำให้อะเซทีลีนสลายด้วยความร้อนที่ 800 ํC ผสมอะเซทีลีนแบลคหรือ ผงแกรไฟต์ด้วยอิเล็กโทรไลต์ และแมงกานีสไดออกไซด์เพื่อทำให้เป็นแป้งเปียกคาโทดที่นำไฟฟ้า สำหรับการใช้งานที่ต้องการพลังงานสูง และใช้เป็นครั้งคราว อย่างเช่น แฟลชกล้องถ่ายรูป แป้งเปียกจะมีส่วนผสมแกรไฟต์นำไฟฟ้ามากกว่าความเข้มข้นอาจสูงถึง 50% ในกรณีที่ต้องการ พลังงานต่ำแต่ใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องการความนำไฟฟ้าสูง มักใช้อะเซทีลีนแบลคที่ความเข้มข้นสูงถึง 25%
ที่คาโทดมีคาร์บอนอยู่สองรูปร่วมกัน : แกรไฟต์ หรือเรียกว่า "คาร์บอน แบลค" เกิดขึ้นจากการสลายสารไฮโดรคาร์บอนด้วยความร้อนสูงมาก (pyrolysis) หรือโดยการเผาไหม้บางส่วน (partial combustion) โดยทั่วไปอะเซทีลีนแบลคผลิตขึ้นจากการทำให้อะเซทีลีนสลายด้วยความร้อนที่ 800 ํC ผสมอะเซทีลีนแบลคหรือ ผงแกรไฟต์ด้วยอิเล็กโทรไลต์ และแมงกานีสไดออกไซด์เพื่อทำให้เป็นแป้งเปียกคาโทดที่นำไฟฟ้า สำหรับการใช้งานที่ต้องการพลังงานสูง และใช้เป็นครั้งคราว อย่างเช่น แฟลชกล้องถ่ายรูป แป้งเปียกจะมีส่วนผสมแกรไฟต์นำไฟฟ้ามากกว่าความเข้มข้นอาจสูงถึง 50% ในกรณีที่ต้องการ พลังงานต่ำแต่ใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องการความนำไฟฟ้าสูง มักใช้อะเซทีลีนแบลคที่ความเข้มข้นสูงถึง 25%
คาโทดยังมีแท่งทรงกระบอกเป็นตัวเก็บกระแสไฟฟ้า 
โผล่ออกจากแป้งเปียกที่มีคาร์บอนและผงแกรไฟต์ผสมอยู่กับสารที่ช่วยให้เกิดการเกาะติด (binder) 
นำส่วนนี้ไปอบแล้วเติมน้ำมันหรือขี้ผึ้งลงไปผสมเพื่อให้ได้คุณสมบัติที่เหมาะสม 
แท่งทรงกระบอกนี้ทำหน้าที่สถานีบวกปลายทางให้แก่แบตเตอรี่ 
และนำกระแสไฟฟ้าจากมวลคาโทดที่อยู่ห้อมล้อม 
มันไม่ยอมให้น้ำที่ออกจากเซลล์ผ่านเข้าไปได้ 
แต่เป็นทางผ่านของออกซิเจนจากอากาศ มีความพรุนพอ 
ที่จะทำให้เกิดการระบายไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นในแบตเตอรี่
ปฏิกิริยาที่เกิด 
Anode (Oxidation) Zn + 2OH-    ZnO + H2O 
+ 2e-
Anode (Oxidation) Zn + 2OH-
Cathode 
(Reduction)         2MnO2 + 
H2O + 2e-       Mn2O3 + 
2OH-
ปฏิกิริยารวม 
(Redox)       Zn + 
2MnO2        ZnO + 
Mn2O3
เซลล์อัลคาไลน์มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับเซลล์แห้ง 
คือ 1.5 โวลต์แต่ใช้ได้นานกว่า เพราะน้ำและไฮดรอกไซด์ 
(OH-  ) ที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยาหมุนเวียนกลับไปเป็นสารตั้งต้นของปฏิกิริยาได้อีก 
จึงทำให้ศักย์คงที่ตลอดการใช้งานและใช้ได้นานกว่า 
ปฏิกิริยาที่เกิด 
Anode 
(Oxidation)            Zn + 2OH-       ZnO + H2O 
+ 2e-
Cathode (Reduction) 
        HgO + 
H2O  + 2e-        Hg + 2OH-
ปฏิกิริยารวม 
(Redox)       Zn + HgO       ZnO + 
Hg
เซลล์ปรอทมีขนาดเล็กเท่ากับเม็ดกระดุมให้ศักย์ไฟฟ้าประมาณ 
1.3 
โวลต์ 
ให้ศักย์ไฟฟ้าเกือบคงที่ตลอดอายุการใช้งาน 
นิยมใช้ในเครื่องฟังเสียงของคนหูพิการ 
ถ่านนาฬิกา 
เครื่องช่วยฟังเข็มทิศ เกมส์กด เครื่องคิดเลข และกล้องถ่ายรูป
5. 
เซลล์เงิน มีส่วนประกอบเช่นเดียวกับเซลล์ปรอท 
แต่ใช้ซิลเวอร์ออกไซด์ 
( Ag2O) 
แทนเมอร์คิวรี 
(II) 
ออกไซด์ 
( HgO) 
ปฏิกิริยาที่เกิด 
Anode 
(Oxidation)            Zn + 2OH-        ZnO + H2O + 
2e-
Cathode (Reduction) 
        Ag2O + 
H2O + 2e-   
    2Ag + 
2OH-
ปฏิกิริยารวม 
(Redox)       Zn + Ag2O       ZnO + 2Ag
เซลล์เงินมีขนาดเล็ก 
อายุการใช้งานมากกว่าเซลล์ปฐมภูมิชนิดอื่นๆ แต่ราคาแพงกว่า ให้ศักย์ไฟฟ้าประมาณ 
1.5 
โวลต์ 
จึงใช้กับอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด 
เช่น เครื่องคิดเลข 
นาฬิกา กล้องถ่ายรูปอัตโนมัติ
เซลล์ทุติยภูมิ  หมายถึง   
ไฟฟ้าชนิดที่เมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าจากเซลล์ออกไปแล้งสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้ามาในเซลล์เพื่อให้เซลล์มีคุณสมบัติเหมือนเดิมได้อีกด้วย     ก็จำพวกแบตเตอรี่รถยนต์   หรือ  
แบตเตอรี่แบบอัลคาไลน์   
หรือแบตเตอรี่ชนิดที่ใช้กับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ บางชนิด   ซึ่งเมื่อเราใช้ไฟหมดแล้วสามารถอัดไฟ   (Charge)  เข้ามาใหม่ได้ได้เซลล์ไฟฟ้าแบบทุติยภูมิมีชื่อเรียกหลายชื่อ      เช่น   
STORAGE 
CELL, 
ACCUMLATOR, หรือ BATTERY  เป็นต้น
1. 
เซลล์สะสมไฟฟ้าแบบเอดิสัน (Edison  storage 
battery)  ประกอบแผ่นเหล็กกล้า 
บรรจุผงเหล็กละเอียดส่วนนี้ทำหน้าที่เป็นขั้วลบ 
สำหรับขั้วบวกเป็นแผ่นเหล็กกล้าบรรจุด้วยนิเกิล(IV) ออกไซด์ไฮเดรต 
ส่วนอิเล็กโทรไลต์เป็นสารละลายที่มีโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ 21% ผสมลิเทียมไฮดรอกไซด์เล็กน้อย 
เมื่อมีการจ่ายไฟฟ้า 
ปฏิกิริยาครึ่งเซลล์เกิดขึ้นดังนี้
                Anode 
(Oxidation)            NiO2(s) + 
2H2O(l) + 2e- 
        Ni(OH)2(s) 
+ 2OH-(aq)
Cathode (Reduction) 
        Fe(s) + 
2OH-(aq)       Fe(OH)2(s) 
+ 2e-
ปฏิกิริยารวม 
(Redox)       Fe(s) + 
NiO2(s) + 2H2O(l)       Fe(OH)2(s) 
+ Ni(OH)2(s) 
เมื่อมีการอัดไฟฟ้า 
ปฏิกิริยาจะเปลี่ยนทิศทางจากขวาไปซ้าย 
ศักย์ไฟฟ้าของแต่ละเซลล์แบบเอดิสัน 
มีค่า1.4 โวลต์ 
2. 
แบตเตอรี่อิเล็กโทรไลต์แข็ง  
สารจำพวกพอลิเมอร์บางชนิด 
มีสมบัติยอมให้ไอออนผ่านได้ดีแต่ไม่ยอมให้อิเล็กตรอนผ่านได้จึงนำมาใช้เป็นอิเล็กโทรไลต์ที่เรียกว่า 
อิเล็กโทรไลต์แข็ง 
และสามารถนำมาประกอบกับขั้วไฟฟ้าเป็นแบตเตอรี่ได้ 
โดยมีโลหะลิเทียมเป็นแอโนดและไทเทเนียมไดซัลไฟด์ 
(TiS2) 
เป็นแคโทด 
ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์นี้มีค่าประมาณ 
2 
โวลต์ 
ปฏิกิริยาที่เกิด 
Anode (Oxidation) Li     Li+ + 
e- 
Anode (Oxidation) Li
Cathode 
(Reduction)         TiS2 + 
e-       TiS2- 
ปฏิกิริยารวม 
(Redox)       Li + 
TiS2       Li+ + 
TiS2 -
เมื่อโลหะลิเทียมให้อิเล็กตรอนแล้วจะกลายเป็น Li+ 
ผ่านอิเล็กโทรไลต์แข็งไปยังแคโทดซึ่งมี TiS2 
ทำหน้าที่รับอิเล็กตรอนเกิดเป็น TiS2 
-(s) จากนั้น 
TiS2 
- จะรวมตัวกับ 
Li+ 
เกิดเป็น 
LiTiS2 
อิเล็กโทรไลต์แข็งทำหน้าที่เป็นฉนวนต่ออิเล็กตรอน 
จึงทำให้เซลล์ไฟฟ้านี้สามารถใช้งานได้โดยไม่เกิดการลัดวงจร 
เซลล์ไฟฟ้าแบบนี้สามารถประจุไฟได้ใหม่ 
ในปัจจุบันนี้มีการใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้กับรถยนต์ 
ทำให้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นกับแบตเตอรี่อีกต่อไปเมื่อแบตเตอรี่นี้หมดอายุการใช้งานแล้วก็สามารถเปลี่ยนใหม่ได้ 
แต่ยังมีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ที่ใช้แผ่นตะกั่วเป็นขั้วไฟฟ้าและใช้สารละลายกรดเป็นอิเล็กโทรไลต์ 
3. 
เซลล์นิกเกิล – แคดเมียม หรือ เซลล์นิแคด  เซลล์สะสมไฟฟ้าแบบนิกเกิล-แคดเมียมเป็นการเลียนแบบมาจากเซลล์แบบเอดิสัน 
โดยใช้ผงแคดเมียมแทนผงเหล็ก  มีแอโนดเป็นโลหะแคดเมียม และแคโทดเป็นนิกเกิล 
(IV) ออกไซด์ ใช้เบสเป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์
 เซลล์ Ni-Cd 
ขั้วถูกเรียงกันเป็นม้วนๆ มีลักษณะเป็นวุ้น แต่ละชั้นแช่ใน 
NaOH หรือ KOH ที่ชื้นเหลว 
 | 
ปฏิกิริยาที่เกิด 
Anode 
(Oxidation)            Cd(s) + 
2OH-(aq)  Cd(OH)2(s) 
+ 2e-
Cathode (Reduction) 
        NiO2(s) + 
2H2O + 2e-  Ni(OH)2(s) 
+ 2OH-(aq)
ปฏิกิริยารวม 
(Redox)      Cd(s) + 
NiO2(s) + 2H2O  Cd(OH)2(s) 
+ Ni(OH)2(s)
สารผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาเป็นของแข็งหุ้มเกาะแน่นอยู่ที่ผิวของแต่ละขั้ว 
ดังนั้นเมื่อใช้ไฟไปนานๆ จึงต้องนำมาอัดไฟใหม่ 
เพื่อให้สารที่เป็นของแข็งเหล่านั้นหลุดออก กลายเป็นสารตั้งต้นใหม่ 
เซลล์ชนิดนี้ไม่เกิดก๊าซ จึงไม่เกิด Polarization 
ดังนั้น ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์จึงคงที่ คือ 1.30 โวลต์ ซึ่งเซลล์หนึ่ง ๆ 
สามารถชาร์จไฟได้ไม่น้อยกว่า 1,000 
ครั้ง 
วิวัฒนาการของเซลล์แห้งแบบนิกเกิลแคดเมียมเป็นที่นิยมใช้กันมาก 
เมื่อใช้จนไฟหมดสามารถประจุไฟได้ ทั้งยังมีน้ำหนักเบามาก และจ่ายกระแสไฟได้สูงมาก 
จึงนิยมใช้กับเครื่องคิดเลข ไฟแฟลชถ่ายภาพ เครื่องโกนหนวด นาฬิกาข้อมือ 
ตลอดจนอุปกรณ์ทางอิเลคทรอนิกส์ต่าง ๆ 
4. เซลล์สะสมไฟฟ้าลิเทียม
แบตเตอรี่สมัยใหม่นิยมใช้ลิเทียมเป็นอาโนด 
เพราะว่ามันมีคุณสมบัติรวมไว้ทั้งศักย์ไฟฟ้าสูงและน้ำหนักสมมูล 
(equivalent weigt) 
ต่ำ 
ทำให้มีความจุคูลอมบ์สูง 
ซึ่งหมายถึงมีปริมาณอิเล็กตรอนต่อหน่วยน้ำหนักสูง ดังนั้นแบตเตอรี่ลิเทียมจึงมีความหนาแน่นพลังงานสูง 
คาร์บอนมักนำมาใช้ในแบตเตอรี่ลิเทียมเสมอ 
มีการศึกษาหน้าที่ของคาร์บอนในแบตเตอรี่ประเภทนี้อย่างกว้างขวาง 
ลิเทียมไม่ว่าในรูปโลหะหรือเป็นสารประกอบ 
ใช้ในทั้งแบตเตอรี่แบบอัดไฟซ้ำได้ และอัดไฟซ้ำไม่ได้
หน้าที่ของคาร์บอนในแบตเตอรี่ลิเทียม 
 | ||
ประเภทของแบตเตอรี่ 
 | 
องค์ประกอบคาร์บอน 
 | 
หน้าที่ 
 | 
| Lithium/sulphur 
dioxide | 
อะเซทีลีนแบลคติดเทฟลอน | 
เพิ่มการนำไฟฟ้าให้คาโทด | 
| Lithium/thionyl 
chloride | 
อะเซทีลีนแบลคติดเทฟลอน | 
เพิ่มการนำไฟฟ้าให้คาโทด | 
| Lithium/air | 
Catalysed 
Chevron black | 
ผิวหน้าว่องไวต่อปฏิกิริยาสำหรับลดออกซิเจน | 
| Lithium/manganese 
dioxide (อัดไฟใหม่ไม่ได้)  | 
Vulcan VXC 
72Rplus MnO2 | 
เพิ่มการนำไฟฟ้าให้คาโทด | 
| Lithium/lithiated 
MnO2 | 
Super-S/graphite in 
LiMn2O4 | 
เพิ่มการนำไฟฟ้าให้คาโทด | 
| Lithium-ion 
(Li/LiCoO2) | 
5-10% 
อะเซทีลีนแบลคหรือแกรไฟต์ใช้แล้ว | 
เพิ่มการนำไฟฟ้าให้คาโทด | 
| Lithium-ion | 
ถ่านโค้กบริสุทธิ์หรือแกรไฟต์บริสุทธิ์ | 
ที่รองรับสำหรับให้ลิเทียมแทรกตัว | 
แบตเตอรี่ลิเทียมที่อัดไฟซ้ำได้ 
1.  ลิเทียมไอออน ขั้วอาโนดเป็นลิเทียมไอออนที่แทรกอยู่ในคาร์บอน 
ส่วนขั้วคาโทดเป็นออกไซด์ของโลหะทรานสิชัน เช่น โคบอลต์ออกไซด์ และมีลิเทียม 
แทรกอยู่ในเนื้อวัสดุเช่นเดียวกัน 
Lithium Ion 
Cylindrical cell structure
Lithium Ion 
Prismatic cell structure
แบตเตอรี่เหล่านี้ใช้คาร์บอนในรูปต่าง 
ๆ รูปแบบในยุคต้นมีปิโตรเลียมโค้ก ซึ่งได้จากการทำให้น้ำมันยางปิโตรเลียมร้อนที่อุณหภูมิระหว่าง 
900-1,000° C 
แต่ปัจจุบันนิยมใช้แกรไฟต์ 
มากกว่า 
เพราะมันมีความจุให้ลิเทียมไอออนเข้าไปแทรกอยู่ได้สูงกว่า 
ซึ่งทำให้ความจุไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 
สารอื่นที่อาจใช้แทรกลิเทียมไอออนได้แก่ Cu 
Sn และทินออกไซด์ 
ก็กำลังมีการศึกษากันอยู่ แต่ถึงอย่างไรคาร์บอนก็ยังเป็นวัสดุที่เลือกใช้กัน 
อาจเติมคาร์บอนแบลคให้แก่องค์ประกอบของอาโนด 
เพื่อช่วยเพิ่มความจุไฟฟ้าก็เป็นไปได้
หลักการทำงานของ 
Li-Ion 
ภายในตัวแบตจะประกอบด้วยสาร 
คาร์บอน ที่สามารถ ซึมซับ และ 
คาย ไอออนของลิเทียม ได้ ระหว่างชาร์จ ภายในตัวแบตเตอรี่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีข้างใน 
แต่จะเกิดปฏิกิริยาเคมีในแบตเตอรี่ ดังสมการเคมีดังต่อไปนี้ 
charging LiCoO2 + 6C  Li1-xCoO2 + LixC6 
discharging Li1-xCoO2 + LixC  Li1-x 
+ 
dxCoO2 + 
Lix-dxC 
charging LiCoO2 + 6C
discharging Li1-xCoO2 + LixC
ข้อดีของ 
Li-Ion 
คือ 
1. น้ำหนักเบา 2. ผลกระทบจาก Memory Effect น้อยมาก แทบจะไม่มีเลย 3. มีความหนาแน่นของพลังงานสูง คือ ถ้าเทียบขนาด และน้ำหนักปริมาตรที่เท่ากัน ระหว่าง Ni-CD Ni-MH Li-Ion Li-Ion จะเก็บไฟได้มากกว่า 4. มีแรงดันไฟสูง Li-Ion ก้อนเดียว จะเท่ากับเอา Ni-CD 3 ก้อนมาต่อกัน คือประมาณ 3.7 V 5. จ่ายกระแสไฟได้คงที่แม้ว่าไฟจะใกล้หมด 6. ไม่มีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม 7. มีอายุการใช้งานยาวกว่า เพราะการชาร์จ จะคิดเป็น Cycle ไม่ได้คิดเป็นจำนวนครั้ง 8.ใช้เวลาในการชาร์จน้อย คือ 2 - 4 ชั่วโมง 9. ไม่ต้องกระตุ้นเซลล์ในการชาร์จครั้งแรก
1. น้ำหนักเบา 2. ผลกระทบจาก Memory Effect น้อยมาก แทบจะไม่มีเลย 3. มีความหนาแน่นของพลังงานสูง คือ ถ้าเทียบขนาด และน้ำหนักปริมาตรที่เท่ากัน ระหว่าง Ni-CD Ni-MH Li-Ion Li-Ion จะเก็บไฟได้มากกว่า 4. มีแรงดันไฟสูง Li-Ion ก้อนเดียว จะเท่ากับเอา Ni-CD 3 ก้อนมาต่อกัน คือประมาณ 3.7 V 5. จ่ายกระแสไฟได้คงที่แม้ว่าไฟจะใกล้หมด 6. ไม่มีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม 7. มีอายุการใช้งานยาวกว่า เพราะการชาร์จ จะคิดเป็น Cycle ไม่ได้คิดเป็นจำนวนครั้ง 8.ใช้เวลาในการชาร์จน้อย คือ 2 - 4 ชั่วโมง 9. ไม่ต้องกระตุ้นเซลล์ในการชาร์จครั้งแรก
แต่ Li-Ion ก็ยังมีผลเรื่องของการใช้งานอย่างหนึ่งคือ 
หากมีการดิสชาร์จ (การคายประจุแบตเตอรี่) 
หรือใช้แล้วปล่อยให้ไฟหมดจากตัวเซลของแบตเตอรี่แบบเกลี้ยงเลย 
อาจเสื่อมประสิทธิภาพได้ 
หรืออาจจำเป็นต้องกระตุ้นการชาร์จ ระยะหนึ่งก่อนที่จะกลับมาใช้งานปกติ 
เช่น เมื่อเราทิ้งเครื่องพร้อมแบตเตอรี่จนไฟหมด และไม่ได้ชาร์จ 
จนกระทั่งไฟหมดจากแบตเตอรี่ เมื่อเสียบสายชาร์จ ไฟอาจไม่สามารถชาร์จได้ในทันที 
อาจต้องรอ 30-60 นาที 
เพื่อกระตุ้นเซลล์แบตเตอรี่ ให้กลับคืนสภาพ 
ก่อนการชาร์จได้อีกครั้ง แต่ในแบตเตอรี่แบบ 
Li-Polymer 
ได้รับการพัฒนาจาก 
Li-Ion อีกระดับคือ 
นอกจากจะเบา แล้ว ยังสามารถที่จะปล่อยให้ไฟหมด โดยไม่มีผลเรื่องความเสื่อมประสิทธิภาพ
2. 
แบตเตอรี่ลิเทียม/อากาศ ประกอบด้วยอาโนดในรูปแผ่นโลหะลิเทียม 
(lithium foil) 
ต่อกับขั้วคาโทดทำด้วยคาร์บอนสัมผัสอยู่กับออกซิเจน 
หรือเรียกว่า “ขั้วไฟฟ้าอากาศ (air electrode)” 
อยู่ในโพลีเมอร์อิเล็กโทรไลต์ 
แบตเตอรี่ที่ใช้ขั้วอิเล็กโทดแตกต่างออกไปเช่น 
อาโนด ทำจากอะลูมิเนียมหรือสังกะสีก็มีบ้าง 
แต่แบตเตอรี่ลิเทียม/อากาศ มีศักยภาพการทำงานสูงส่งเป็นพิเศษ
ขั้วไฟฟ้าอากาศมีตัวรองรับเป็นแกรไฟต์พรุน 
หรือ อะเซทีลีนแบลค และมีตัวเร่งโคบอลต์กระจายอยู่โดยทั่ว 
ขณะที่เซลล์จ่ายไฟจะเกิดลิเทียมเพอรอกไซด์มาจับที่รูพรุน 
การจ่ายไฟสิ้นสุดลงเมื่อคาโทดถูกอุดตันจนหมดสิ้น 
อัตราการจ่ายไปของแบตเตอรี่มีความสัมพันธ์กับพื้นที่ผิวของวัสดุคาร์บอน 
เมื่อใช้อะเซทีลีนแบลคเชฟรอน 
(Chevuron) 
ประสิทธิภาพการทำงานก็ยิ่งดีขึ้น 
ทำให้มีพื้นที่ผิว 
40 
ตารางเมตรต่อกรัม 
สูงกว่าแกรไฟต์ซึ่งให้พื้นที่ผิว 5 ตารางเมตรต่อกรัม 
คาร์บอนที่มีพื้นที่ผิวสูงเช่น Ketjenblack (1,000 
ตารางเมตรต่อกรัม) 
หรือ Black Pearl 2,000 (2,000 
ตารางเมตรต่อกรัม) 
ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นไปอีก 
การพัฒนาในอนาคตสำหรับแบตเตอรี่ลิเทียมจะมุ่งเน้นไปที่การใช้โพลีเมอร์อิเล็กโทรไลต์เพื่อผลิตระบบซึ่งมี 
น้ำหนักเบาและยืดหยุ่นออกมา
แบตเตอรี่ลิเทียมแบบอัดไฟใหม่ไม่ได้  ที่ผลิตกันมากได้แก่ระบบลิเทียม/แมงกานีสไดออกไซด์ 
ลิเทียม/ไทโอ-นิลคลอไรด์ 
การเติมคาร์บอนให้แก่คาโทดก็เพื่อเพิ่มความนำไฟฟ้าและเพิ่มความจุกระแสให้สูงขึ้น 
ในระบบคาโทดเหลว 
(ไทโอนิลคลอไรด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์) อะเซทีลีนแบลคคือตัวเก็บกระแสที่สมบูรณ์แบบเพราะความทนทานทางเคมีของมันต่อของเหลวที่กัดกร่อนเหล่านี้ 
อย่างไรก็ตามงานวิจัยเมื่อเร็ว 
ๆ นี้ได้แสดงให้เห็นว่าการแทนที่ อะเซทีลีนแบลคด้วยเส้นใยจุลภาคของคาร์บอน 
(carbon 
microfibers) ช่วยเพิ่มความจุของคาโทดได้ถึง 
70% 
เพราะมันช่วยให้เกิดการสัมผัสกันระหว่างอนุภาคของวัสดุ 
ที่ว่องไวต่อปฏิกิริยาคาโทด
5. เซลล์สะสมไฟฟ้าแบบตะกั่ว   
(LEAD-ACID 
BATTERY ) แบตเตอรี่ชนิดนี้คือ 
แบตเตอรี่ที่เราเห็นทั่วไป เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ แผ่นธาตุขั้วบวกและลบด้วยตะกั่ว 
และแช่ลงใน  กรดกำมะถัน 
สามารถอัดไฟใหม่ได้เมื่อใช้ไปแล้วภายในมีหลายๆ 
เซลล์ต่ออนุกรมกันปกติแต่ละเซลล์มีแรงดันออกมา  
= 2 V ถ้าต่ออนุกรมกัน 
6 
เซลล์ก็จะได้ 
12 V 
เป็นต้น 
โครงสร้างประไปด้วยแผ่นธาตุทำด้วยตะกั่วบริสุทธิ์เป็นขั้วลบ  และแผ่นธาตุของตะกั่วไดออกไซด์เป็นขั้วบวก  ตัวที่เป็นอิเล็กโทรไลต์ คือ กรดซัลฟูริก 
(H2SO4) 
ถ้ามีการบำรุงรักษาให้ดีแล้วจะมีอายุการใช้งานประมาณ   5  ปี 
การทำงานของแบตเตอรี่
เมื่อต่อแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเข้ากับแผ่นตะกั่ว 
(Pb) ทั้ง 2 แผ่น แล้วผ่านกระแสไฟฟ้าปริมาณพอเหมาะลงในสารละลายกรดกำมะถัน 
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้
                ที่ขั้ว A 
(Anode) 
ซึ่งต่อเข้ากับขั้วบวกของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเป็นขั้วบวก 
พบว่ามีสารสีน้ำตาลดำของเลด(IV) ออกไซด์ (PbO2) มาเกาะเคลือบที่แผ่น 
Pb อธิบายได้ว่า Pb ถูกออกซิไดซ์เกิด 
PbO2 (สารสีน้ำตาลดำ) 
ดังนี้
(1) 
         Pb(s)       Pb2+(aq) 
+ 2e-
(2) 
         Pb2+(s) + 2H2O(l)   
    PbO2(s) + 4H+(aq) 
+ 4e- 
รวม        Pb(s) 
+ 
2H2O(l)  PbO2(s) + 4H+(aq) + 4e-                                     
ที่ขั้ว 
B 
 (Cathode)   ซึ่งต่อเข้ากับขั้วลบของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า 
เป็นขั้วลบ มีฟองก๊าซ H2 
เกิดขึ้นรอบๆแผ่น Pb อธิบายได้ว่า 
H+ ในสารละลายกรดกำมะถัน ถูกรีดิวซ์เป็นก๊าซ 
H2 ดังนี้
2H+(aq) + 2e-       H2(g)
2. 
การจ่ายไฟ  เซลล์ไฟฟ้าแบบตะกั่วอยู่ในรูปเซลล์กัลวานิก
                
หลังจากอัดไฟสักครู่หนึ่งปลดแหล่งกำเนิดไฟฟ้าออก ต่อโวลต์มิเตอร์แทน 
จะพบว่าเข็มที่โวลต์มิเตอร์เบนได้จากขั้ว B 
ไป A เกิดการเปลี่ยนแปลง 
ดังนี้
                ที่ขั้ว B 
เป็นขั้วลบ 
แผ่นตะกั่วสึกกร่อน เกิดคราบสีขาวตกอยู่ก้นภาชนะ อธิบายได้ว่า Pb 
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันให้ Pb2+ ซึ่งจะทำปฏิกิริยาต่อกับ   ในสารละลายกรดกำมะถัน 
เกิดตะกอนสีขาวของ PbSO4 ไม่ละลายน้ำ ดังนั้น ขั้ว 
B เป็น Anode ด้วย
                (1) 
       Pb(s)       Pb2+(aq) 
+ 2e-
(2) 
       Pb(s) + 
SO2-4(aq)       PbSO4(s)
รวม        Pb(s) 
+ SO2-4(aq)       PbSO4(s) 
+ 2e-
ที่ขั้ว 
A 
เป็นขั้วบวก PbO2 
ที่เคลือบอยู่บน Pb สีน้ำตาลดำหายไป 
เกิดตะกอนสีขาวขึ้น อธิบายได้ว่า PbO2 เกิดปฏิกิริยากับ H+ เกิด 
Pb2+ 
และ 
H2O แล้ว 
Pb2+ 
ทำปฏิกิริยาต่อกับ  ในสารละลายกรดกำมะถัน 
เกิดตะกอนสีขาวของ PbSO4 
ไม่ละลายน้ำ ดังนั้น ขั้ว A เป็น 
Cathode
(1) 
PbO2(s) + 4H+ 
(aq) + 
2e-      Pb2+(aq) + 2H2O(l)
(2) Pb2+(aq) + SO2-4(aq)   
    PbSO4(s)
รวม        PbO2(s) + 4H+(aq) + SO2-4(aq) + 2e-        PbSO4(s) + 2H2O(l)
ปฏิกิริยารวมของการจ่ายไฟของเซลล์สะสมไฟฟ้าแบบตะกั่ว 
คือ
Pb(s) 
+ PbO2(s) + 4H+(aq) + 2SO2-4(aq)   
    2PbSO4(s) + 2H2O(l)
3. 
การอัดไฟครั้งที่ 2 
เซลล์สะสมไฟฟ้า เมื่อจ่ายไฟไปนานๆ ต้องนำมาอัดไฟใหม่ 
สำหรับปฏิกิริยาในการอัดไฟครั้งที่ 2 และครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเหมือนกัน ยกเว้น 
การอัดไฟครั้งแรกที่แตกต่างกันเท่านั้น
                สำหรับปฏิกิริยาการอัดไฟครั้งที่ 
2 เกิดตรงข้ามกับปฏิกิริยาการจ่ายไฟ 
โดยเปลี่ยนสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากการจ่ายไฟมาเป็นสารตั้งต้นใหม่ ส่วนขั้วบวก 
ขั้วลบก็ยังคงเป็นขั้วเดิมไม่ว่าจะเป็นการัดไฟหรือจ่ายไฟ 
ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้วเป็นดังนี้
                ที่ขั้ว 
A เป็นขั้วบวก 
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน จึงเป็น Anode
PbSO4(s) + 2H2O(l)   
    PbO2(s) + 4H+(aq) 
+ 2e- 
ที่ขั้ว 
B 
เป็นขั้วลบ 
เกิดปฏิกิริยารีดักชัน จึงเป็น Cathode           
PbSO4(s) 
+ 
2e-        Pb(s) + 
SO2-4(aq)
ปฏิกิริยารวมของการอัดไฟครั้งที่ 
2 และครั้งอื่น คือ
2PbSO4(s) + 2H2O(l)   
    Pb(s) 
+ PbO2(s) + 4H+(aq) + 2SO2-4(aq)
จ่ายไฟ 
 | 
อัดไฟ 
 | 
การตรวจสภาพแบตเตอรี่
สภาพของแบตเตอรี่เมื่อดูจากค่าความถ่วงจำเพาะของน้ำยา    (สารละลายกรดกำมะถัน)
              
 แบตเตอรี่ไฟอยู่เต็ม                            ถ.พ   1.275-1.300       ไม่ต้องอัดไฟ
             
 แบตเตอรี่มีไฟอยู่ครึ่งหนึ่ง                  ถ.พ    1.225                 ต้องอัดไฟใหม่
              
 แบตเตอรี่มีไฟอยู่ประมาณ 1 
ใน  4    ถ.พ   1.150                  ต้องอัดไฟใหม่
จะเห็นได้ว่าถ้าเราเปิดจุกเกลียวด้านบนของแบตเตอรี่  และใช้ไฮโดรมิเตอร์ตรวจสอบถ้าค่า  ถ.พ.ต่ำกว่า  1.225  ล่ะก็ต้องรีบนำไปอัดไฟทันที  และอายุของแบตเตอรี่จะยืนยาวต่อไป  แต่ถ้า        
ทิ้งไว้นานจน ถ.พ.ของน้ำยาเท่ากับ  1.150  เมื่อนำไปอัดไฟใหม่แบตเตอรี่ก็ยังคงใช้ได้  แต่อายุการใช้งานจะสั้นลงกว่าเดิมมาก  แต่ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้อีกจน  ถ.พ.ตำกว่า  1.150  และเราไม่สามารถอัดไฟเข้าไป  และใช้ได้ดีกว่าเดิม 
ซึ่งก็คือแบตเตอรี่ที่หมดสภาพแล้ว
ความจุของแบตเตอรี่
               
คือความสามารถของแบตเตอรี่ที่จะเก็บประจุไฟฟ้าไว้ในรูปของแอมแปร์ 
–ชั่วโมง 
(Ampare 
hours) ตัวอย่างเช่น 
แบตเตอรี่ขนาด  100 A-hr  หมายถึง  แบตเตอรี่ที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า  12.5 V ได้ใน 
8 
ชั่วโมง  (12.5 A  x  
8.hr  = 100  A-hr)ปดติอัตราการจ่ายกระแสของแบตเตอรี่ตามปกติจะเทียบกับ  8 ชั่วโมงเสมอ  
ชนิดแบตเตอรี่รถยนต์ 
แบบธรรมดา 
คือ แบตเตอรี่ที่ภายในบรรจุโครงแผ่นธาตุกำเนิดไฟฟ้า ที่เกิดจากการผสมกันระหว่างโลหะ 
2 
ประเภท 
ได้แก่ ตะกั่วซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก และโลหะอื่นๆ 
ตามแต่สูตรจะคิดค้นได้ ส่วนใหญ่ใช้ตะกั่วผสมกับพลวง 
โดยเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้กันมาอย่างยาวนานตั้งแต่เริ่มแรกในรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 
หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า 
แบตเตอรี่น้ำ (Storage Battery) 
ที่ต้องหมั่นเติมน้ำกลั่นที่สูญเสียไปจากการใช้งาน 
และต้องชาร์จไฟฟ้าก่อนการใช้งานในครั้งแรก 
โดยสามารถนำมาชาร์จไฟฟ้าและเติมน้ำกลั่นได้เรื่อยๆ 
เมื่อไฟฟ้าหมด จนกว่าอายุการใช้งานของโครงแผ่นธาตุจะเสื่อมไป 
แบตเตอรี่แบบไม่ต้องบำรุงรักษา 
หรือ MF ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ต้องรักษา 
ก็หมายความว่า 
ไม่ต้องมาคอยตรวจดูว่าน้ำกลั่นแห้งหรือยัง ตลอดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ไม่ต้องมีการเติมน้ำกลั่น 
ซื้อมาจากร้านจำหน่ายแกะกล่องแล้วใช้ได้ทันที 
และเป็นที่นิยมอย่างสูงในเวลานี้ นับแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในรถยนต์แบบซีดานที่ประกอบในช่วงปี 
2545 
เป็นต้นมา 
ด้วยความที่เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้งานง่ายจึงถูกบรรจุมาในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ 
ตั้งแต่ขั้นตอนการประกอบในโรงงาน 
แต่เมื่อมีข้อเด่น ก็ย่อมต้องมีข้อด้อยบ้างในบางเรื่อง 
แบตเตอรี่แบบ 
MF 
จะเป็นแบบแคลเซียม 
เมนเทนแนนซ์ ฟรี 
(Calcium-Maintenance Free : Ca-MF) โครงธาตุโลหะเป็นตะกั่วผสมแคลเซียมทั้งขั้วบวกและลบ 
มีคุณสมบัติที่ดีในการกำเนิดไฟฟ้า 
และไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน แต่ก็มีความต่างที่ต้องกล่าวถึงบ้าง 
คือ ประเทศไทยเป็นเมืองที่มีอากาศร้อนมาก อาจจะต้องมีการเติมน้ำกลั่นบ้างเล็กน้อย 
เพราะว่าน้ำกลั่นในแบตเตอรี่มีโอกาสที่ระเหยออกไปได้บ้าง 
ข้อดีคือใช้งานง่าย 
แต่ข้อด้อยก็คือ เรื่องความทนทานในการใช้งานหนัก จะไม่เหมาะสมกับรถยนต์ที่ต้องจ่ายกระแสไฟมาก 
(Deep 
Cycle-Heavy Duty) เช่น 
รถบรรทุก และรถโดยสาร 
 
แบตเตอรี่แบบ 
MF 
เหมาะแก่การใช้งานกับรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย 
เพราะสังเกตจากความนิยมของตลาดจักรยานยนต์ไทยที่แตกต่างจากญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง 
ตลาดในไทยชอบรถจักรยานยนต์ที่มีรูปร่างเพรียวลม 
ผู้ผลิตพยายามดีไซน์ให้บางและมีเนื้อที่น้อยที่สุด 
การติดตั้งแบตเตอรี่จึงมีการวางในตำแหน่งที่ต่างกันไป 
มีทั้งตะแคงข้าง หรือกลับหัวกลับหาง 
ถ้าใช้แบตเตอรี่แบบดั้งเดิมน้ำกลั่นก็จะมีการเอียงไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง 
เมื่อน้ำกลั่นลดลงแผ่นธาตุข้างในก็จะเสียและเสื่อมได้ 
แบตเตอรี่แบบไฮบริด 
ถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าทั้งในด้านการผลิตแบตเตอรี่และความเหมาะสมกับการใช้งานที่สมบุกสมบัน 
เป็นการรวมข้อดีในเรื่องความทนทานของแบตเตอรี่แบบธรรมดาที่ต้องเติมน้ำกลั่น 
กับแบตเตอรี่แบบ 
MF 
ที่ไม่ต้องดูแลรักษามากมายนักเข้าด้วยกัน 
แบตเตอรี่แบบไฮบริดมีอายุการใช้งานที่ทนทานกว่าแบบธรรมดา 
แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการเติมน้ำกลั่น 
การใช้งานจริงสามารถเติมน้ำกลั่นได้ในทุกๆ 
5,000 หรือ 
1 
หมื่น 
กม.ซึ่งทำได้พร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามปกติ 
และเมื่อเทียบกับสภาพการใช้งานที่หนักเท่ากันแล้ว 
ไฮบริดจะมีคุณสมบัติโดยรวมดีกว่าแบตเตอรี่แบบ 
Ca-MF 
ด้วย 
แบตเตอรี่อากาศ
ตอบลบ